เมนู

อรรถกถาสคารวสูตร



สราควสุตรขึ้นต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ในบ้านชื่อปัจจลกัปปะ คือในบ้าน
อันมีชื่ออย่างนั้น. บทว่า เลื่อมใสยิ่ง ได้แก่ เลื่อมใสด้วยความเลื่อมใสอัน
ไม่หวั่นไหว. ได้ยินว่านางพราหมณีนั้น เป็นอริยสาวิกาโสดาบัน เป็นภรรยา
ของพราหมณ์ภารทวาชโคตร. เมื่อก่อนทีเดียว พราหมณ์นั้นเชิญพราหมณ์
ทั้งหลายมาแล้วการทำสักการะแก่พราหมณ์เหล่านั้นเสมอ ๆ. ตอนทำเอานาง
พราหมณีนี้มาสู่เรือนแล้วไม่อาจทำจิตให้โกรธต่อนางพราหมณีรูปงามมีตระกูล-
ใหญ่ ไม่อาจทำสักการะแก่พราหมณ์ทั้งหลาย. ครั้งนั้นพราหมณ์ทั้งหลายได้
ถากถางพราหมณ์นั้นในที่ที่เห็นทุกแห่งว่า บัดนี้ ท่านไม่ถือลัทธิพราหมณ์
จึงไม่ทำสักการะแม้สักอย่างหนึ่งแก่พวกพราหมณ์. พราหมณ์นั้นกลับมาเรือน
บอกเนื้อความนั้นแก่พราหมณ์ แล้วกล่าวว่า ถ้าเธอจะอาจรักษาหน้าฉัน ใน
วันหนึ่ง ฉันก็จะให้ภิกษาแก่พราหมณ์ทั้งหลายในวันหนึ่ง. นางพราหมณีว่า
ท่านจงให้ไทยธรรมของท่านในที่ที่ชอบใจเถิด ฉันจะมีประโยชน์อะไรเรื่องนี้.
พราหมณ์นั้นได้เชื้อเชิญพราหมณ์ทั้งหลายแล้ว ให้หุงข้าวปายาสน้ำน้อย เชิญ
ให้ขึ้นเรือน ตบแต่งอาสนะแล้วเชิญให้พราหมณ์ทั้งหลายนั่ง. นางพราหมณี
นุ่งห่มผ้าสาฏกผืนใหญ่ถือทัพพีเลี้ยงดูอยู่พลาด (สดุด) ที่ชายผ้า ไม่ได้กระทำ
ความสำคัญว่า เรากำลังเลี้ยงหมู่พราหมณ์ ระลึกถึงเฉพาะพระศาสดาเท่านั้น
พลันเปล่งอุทานขึ้นด้วยอำนาจความเคยชิน. พราหมณ์ทั้งหลายพึงอุทานแล้ว
โกรธว่า สหายของพระสมณโคดมผู้นี้เป็นคนสองฝ่าย พวกเราจักไม่รับไทย-
ธรรมของเขา ดังนี้ จึงทิ้งโภชนะทั้งหลายแล้วออกไปเสีย. พราหมณ์กล่าวว่า

เราได้พูดกะท่านไว้แต่ทีแรกทีเดียวมิใช่หรือว่า วันนี้ขอให้ท่านรักษาหน้าฉัน
สักวัน ท่านทำนมสดและข้าวสารเป็นต้น มีประมาณเท่านี้ ให้ฉิบหายเสียแล้ว
(เขา) ลุอำนาจความโกรธเป็นอย่างยิ่ง กล่าวว่า ก็หญิงถ่อยคนนี้ กล่าวสรรเสริญ
สมณโคดมนั้นไม่เลือกที่ อย่างนี้ทีเดียว หญิงถ่อยบัดนี้เราจะยกวาทะต่อศาสดา
นั้นของเธอ. ทีนั้น นางพราหมณีจึงกล่าวกะพราหมณ์นั้นว่า ไปซิพราหมณ์
ไปซิพราหมณ์ ท่านแล้วไปแล้วจักรู้สึก ดังนี้แล้วกล่าวว่า ท่านพราหมณ์
เราย่อมไม่เห็นบุคคลผู้จะยกวาทะ ฯลฯ ในโลกพร้อมทั้งเทวดา ดังนี้เป็นต้น.
พราหมณ์นั้นเข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้วทูลถามปัญหาว่า
ฆ่าอะไรซิ จึงจะอยู่เป็นสุข ฆ่า
อะไรซิ จึงจะไม่เศร้าโศก ท่านโคดม
ท่านชอบใจการฆ่าธรรมอะไรเป็นธรรม
เอก.

พระศาสดาตรัสตอบปัญหาว่า
ฆ่าความโกรธแล้วอยู่เป็นสุข ฆ่า
ความโกรธแล้วย่อมไม่เศร้าโศก พราหมณ์
พระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมสรรเสริญการฆ่า
ความโกรธซึ่งมีรากเป็นพิษมียอดร่อย
เพราะฆ่าความโกรธได้แล้ว ย่อมไม่
เศร้าโศก.

พราหมณ์นั้นบวชแล้วบรรลุพระอรหัต. น้องชายของพราหมณ์
นั่นแหละ ชื่ออักโกสกภารทวาชะได้ฟังข่าวว่า พี่ชายของเราบวชแล้ว จึงเข้า
ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแนะนำจึงบวชแล้วบรรลุพระอรหัต น้องชาย

เล็กของพราหมณ์นั้น อีกคนหนึ่ง ชื่อสุนทริกภารทวาชะ. แม้พราหมณ์นั้น ก็
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลถามปัญหา ได้ฟังแล้ว แก้ปัญหาบวชแล้ว ก็
บรรลุพระอรหัต. น้องชายคนเล็กของพราหมณ์นั้น ชื่อปิงคลภารทวาชะ.
เขาถามปัญหาในเวลาจบพยากรณ์ปัญหาบวชแล้วก็บรรลุพระอรหัต.
คำว่า มาณพชื่อสคารวะ มีความว่า มาณพนี้เป็นผู้อ่อนกว่า
พราหมณ์ทั้งหมด ของบรรดาพราหมณ์เหล่านั้นในวันนั้น ได้นั่งในโรงอาหาร
แห่งเดียวกันกับพวกพราหมณ์. บทว่า อวภูตา จ ความว่า เป็นผู้ไม่เจริญ
คือ เป็นผู้ไม่มีมงคลเลย. บทว่า เป็นผู้เสื่อม คือ เป็นผู้ถึงความพินาศเท่านั้น.
บทว่า เมื่อ มีอยู่ คือ ครั้นเมื่อ...มีอยู่. บทว่า ศีลและปัญญา ความว่า
ท่านไม่รู้ศีลและญาณ. บทว่า เป็นผู้ถึงบารมีอันเป็นที่สุด เพราะรู้ยิ่ง
ในปัจจุบัน
ความว่า พราหมณ์ทั้งหลาย กล่าวว่า เราทั้งหลายเป็นผู้ถึงแล้ว
ซึ่งที่สุด บรรลุพระนิพพานอันเป็นคุณสมบัติยิ่งใหญ่แห่งธรรมทั้งปวง กล่าวคือ
บารมีเพราะรู้ยิ่งในอัตตภาพนี้นั่นแหละ ดังนี้ ชื่อว่า ย่อมปฏิญาณอาทิ
พรหมจรรย์ บทว่า อาทิพรมจรรย์ มีอธิบายว่า ย่อมปฏิญาณอย่างนี้ว่า
เป็นเบื้องต้น คือ เป็นอุปการะ เป็นผู้ทำให้เกิด พรหมจรรย์.
บทว่า นักตรึกตรอง คือ เป็นผู้มีปรกติถือเอาด้วยการคาดคะเน. บทว่า
มีปกติใคร่ครวญ ความว่า เป็นผู้ใคร่ครวญ คือ เป็นผู้มีปรกติใช้ปัญญา
ใคร่ครวญแล้ว กล่าวอย่างนี้. บทว่า บรรดาพราหมณ์เหล่านั้น เราเป็น
ความว่า เราเป็นสัมมาสัมพุทธองค์หนึ่ง บรรดาสัมมาสัมพุทธะเหล่านั้น.
เชื่อมบทว่า อฏฺฐิตะ ในบทสนธิว่า อฏฺฐิตวตา เข้ากับ บท ปธานะ เชื่อมบท
สปฺปุรสะ เข้ากับบท ปธานะ ก็เหมือนกัน. มีคำอธิบายนี้ว่า ความเพียร
อันไม่หยุดหย่อน ความเพียรของสัตบุรุษหนอ ได้มีแล้วแก่พระโคดมผู้เจริญ
คำว่า เป็นผู้ถูกทูลถามว่า เทวดามีหรือ ความว่า มาณพกล่าวคำนี้ด้วย

สำคัญว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงทราบเลย ประกาศ. คำว่า เมื่อเป็น
เช่นนั้น
ความว่า เมื่อความที่พระองค์ไม่ทรงทราบมีอยู่. คำว่า เป็นถ้อยคำ
เปล่า เป็นถ้อยคำเท็จ
ความว่า ถ้อยคำของพระองค์เป็นถ้อยคำไม่มีผล คือ
ปราศจากผล. มาณพชื่อว่า ย่อมข่มพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยวาทะว่าพูดเท็จ
ด้วยประการอย่างนี้. บทว่า อันวิญญูชน ได้แก่อัน คนผู้เป็นบัณฑิต. ทรง
แสดงว่า ก็ท่านย่อมไม่รู้คำแม้ที่เราพยากรณ์ เพราะความเป็นผู้ไม่รู้. คำว่า
เขาสมมติกันด้วยศัพท์สูง คือ เขาสมมติ ได้แก่ ปรากฏในโลกด้วยศัพท์
ชั้นสูง. คำว่า เทวดามี อธิบายว่า ก็แม้เด็กหนุ่มสาวทั้งหลาย ชื่อว่าเทพก็มี
ชื่อว่าเทพีก็มี. ส่วนเทพทั้งหลายชื่อว่า อติเทพ คือ เป็นผู้ยิ่งกว่ามนุษย์ทั้งหลาย
ผู้ได้ชื่อว่า เทพ เทพี ในโลก. คำที่เหลือในที่ทุกแห่งง่ายทั้งนั้นแล.

จบอรรถกถาสคารวสูตรที่ 10
จบวรรคที่ 5

อรรถกถามัชฌิมปัณณาสกสูตรในอัฏฐกถามัชฌิมนิกาย ชื่อปปัญจสูทนีจบ
อรรถกถาประมวลพระสูตร 50 สูตร ประดับด้วย 5 วรรคจบ.